29 พฤศจิกายน 2552
03 พฤศจิกายน 2552
02 พฤศจิกายน 2552
ทศชาติชาดก
........พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระสุวรรณสามทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี
........ชายหนุ่มทุกุละกับหญิงสาวปาริกา ต่างเป็นบุตรของนายพรานเนื้อ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายต้องการให้แต่งงานกัน แต่ทั้งสองเห็นว่า การมีคู่เป็นทุกข์ เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็แต่งงานกัน แล้วชวนกันออกบวชเป็นดาบสอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งท้าวสักกเทวราชรู้ว่า ดาบสทั้งสองจะตาบอดจึงลงมาและบอกให้มีบุตรโดยให้ดาบสทุกุละลูบท้องดาบสินีปาริกา พร้อมกับตั้งจิตปรารถนาขอให้ได้บุตร ต่อมาไม่นานดาบสินีปาริกาก็ตั้งครรภ์ แล้วคลอดบุตรเป็นชาย มีผิวพรรณเหลืองสวยเหมือนทองคำจึงตั้งชื่อว่า "สุวรรณสาม" เมื่อสุวรรณสามเติบโตเป็นชายหนุ่มมีอายุได้ 16 ปี วันหนึ่งดาบสดาบสินีออกไปเก็บผลไม้ตอนเย็นเกิดฝนตกหนัก จึงเข้าหลบฝนข้างจอมปลวก ใต้ต้นไม้ งูเห่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในจอมปลวก พ่นพิษใส่ตาดาบสทั้งสองทำให้ตาบอดสนิท สุวรรณสามเห็นผิดเวลาจึงออกตามหาจนมาพบเข้าได้ปลอบโยน แล้วพากลับอาศรม สุวรรณสามผูกเชือกโยงจากอาศรมไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นราวให้บิดามารดาจับเดินไป ตั้งแต่นั้นมา สุวรรณสามได้ปรนนิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นอย่างดี พระเจ้าปิลยักษ์ กษัตริย์เมืองพาราณสี โปรดการล่าเนื้อในป่าหิมพานต์ตามลำพัง เย็นวันหนึ่งพระองค์เสด็จมาถึงแม่น้ำมิคสัมมตา เห็นสุวรรณสามมีฝูงสัตว์ป่าอยู่ ด้วยอำนาจเมตตาบารมี พระเจ้าปิลยักษ์ทรงประสงค์จะรู้ว่าเป็นใคร เทพหรือนาคจึงยิงศรถูกสุวรรณสาม สุวรรณสามได้รับความเจ็บปวดอย่างแรงกล้าแต่ไม่โกรธผู้ยิงหรือเกรงกลัวความตาย แต่กลับคร่ำครวญห่วงใยบิดามารดา พระเจ้าปิลยักษ์ทรงสอบถามจนทราบเรื่องราว ทำให้พระองค์ทรงสำนึกผิด และให้สัญญากับสุวรรณสามว่า จะสละราชสมบัติมาปรนนิบัติเลี้ยงดูดาบส ดาบสินีแทนสุวรรณสาม สุวรรณสามกล่าวฝากฝังบิดามารดาแล้วก็สลบไป พระเจ้าปิลยักษ์เสด็จไปที่อาศรม ดาบสดาบสินีรู้ว่าไม่ใช่สุวรรณสาม พระองค์จึงต้องสารภาพและพาดาบสทั้งสองไปยังที่สุวรรณสามนอนสลบอยู่ ดาบสประคองศีรษะสุวรรณสามส่วนดาบสินีประคองเท้าแล้วทั้งสองก็ร้องไห้คร่ำครวญดาบสินีรู้สึกว่าร่างกายของสุวรรณสามยังมีไออุ่นอยู่ จึงรู้ว่ายังไม่ตาย ดาบสทั้งสองจึงตั้งสัตยาธิษฐาน ด้วยบุญกุศลที่สุวรรณสามปรนนิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาทำให้พิษและบาดแผลหายได้ สุวรรณสามพลิกฟื้นขึ้น เทพธิดาสุนทรี ซึ่งเคยเป็นมารดาสุวรรณสามในอดีตชาติ และคอยดูแลคุ้มครองสุวรรณสามอยู่ก็ตั้งสัตยาธิษฐานขึ้นบ้าง สุวรรณสามก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้อย่างน่าอัศจรรย์ พร้อมกันนี้ ดวงตาของดาบสดาบสินีก็คืนดีดังเดิมอีกด้วย สุวรรณสามกล่าวให้โอวาทพระเจ้าปิลยักษ์ให้กระทำดีต่อพระชนกชนนี พระมเหสี พระโอรสธิดา ชาวเมือง บำรุงสมณพราหมณ์ เมตตาสัตว์นานาชนิด และประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจคนมีเมตตา คือ คนที่มีความรักและปรารถนาดี ทั้งแก่คนที่เป็นมิตรและศัตรู
พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก
........ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี
........พระเจ้าอริฏฐชนิกแห่งเมืองมิถิลา ทำสงครามพ่ายแพ้พระเจ้าโปลชนิกพระอนุชา และสวรรคตในที่รบ ขณะนั้นพระมเหสีทรงพระครรภ์ เสด็จลี้ภัยไปอยู่เมืองกาฬจัมปาก์ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองมิถิลาถึง 5,120 กิโลเมตร
........พราหมณ์ทิศาปาโมกข์รับพระนางไปอยู่ด้วย พระนางประสูติพระโอรส และให้พระนามตามพระอัยกาว่า มหาชนก เมื่อพระมหาชนกเจริญพระชันษาขึ้นมักถูกเพื่อนๆ ล้อว่า เป็นเด็กกำพร้า พระมหาชนกทรงถามความเป็นจริงจากพระมารดา
........ครั้นรู้ความจริง พระองค์ตั้งพระทัยศึกษาศิลปวิทยาเพื่อกลับไปแก้แค้นแทนพระบิดา ต่อมา พระมหาชนกตัดสินพระทัยเดินทางไปเมืองมิถิลาโดยเดินทางค้าขายทางเรือไปพร้อมกับพ่อค้าคนอื่นๆ 700 ลำเรือแล่นมาได้ 3 วันก็เกิดพายุใหญ่ เรือทั้งหมดอับปางลง พ่อค้าคนอื่นๆ จมน้ำตายหรือไม่ก็ถูกปลาร้ายฮุบกิน
........ส่วนพระมหาชนกทรงปีนขึ้นบนเสากระโดง กำหนดทิศทางเมืองมิถิลาแล้วกระโดดไปตกไกลจากเรือจึงพ้นปลาร้าย พระองค์เพียรว่ายน้ำอยู่กลางทะเลถึง 7 วันก็ถึงวันอุโบสถพอดี พระองค์สมาทานศีล วันนั้นนางมณีเมขลาเทพธิดาผู้ตรวจดูทะเลเหาะมาพบเข้าเห็นพระมหาชนกมีความเชื่อมั่นในความเพียรพยายาม จึงสงสารอุ้มพาเหาะไปไว้ในอุทยานเมืองมิถิลา
........พระเจ้าโปลชนกประชวรสวรรคต เมืองมิถิลาจึงว่างกษัตริย์ มีเพียงพระธิดาสีวลี ปุโรหิตจึงทำพิธีเสี่ยงรถหาคู่ให้พระธิดา ราชรถวิ่งมาหยุดอยู่ที่พระมหาชนกซึ่งบรรทมหลับในอุทยาน ปุโรหิตและมหาชนกพร้อมใจกันอภิเษกให้พระมหาชนกเป็นกษัตริย์แห่งเมืองมิถิลา ทรงพระนามว่า พระเจ้ามหาชนก พระองค์ส่งอำมาตย์ไปรับพระมารดา และพราหมณ์ทิศาปาโมกข์มาอยู่ด้วยอย่างมีความสุข
........พระเจ้ามหาชนกทรงเห็นสัจธรรมจากต้นมะม่วง 2 ต้น ต้นหนึ่งมีผลดก อีกต้นหนึ่งมีกิ่งใบดก ต้นมะม่วงที่มีผลดกถูกเก็บผลจนกิ่งหักเสียหาย เหมือนความเป็นกษัตริย์ ส่วนต้นมะม่วงที่มีใบดกไม่มีผลไม่ได้รับอันตรายใดๆ เหมือนความเป็นนักบวช พระทัยของพระองค์มอบราชกิจให้แก่พระโอรสผู้มีพระนามว่า ทีฆาวุและอำมาตย์ส่วนพระองค์เสด็จออกผนวชเป็นนักบวช ไม่ว่าพระนางสีวลีและชาวเมืองจะขอร้องอย่างไรก็ตาม
.......ความพากเพียรนำไปสู่ความสำเร็จได้นั้นต้องเป็นความเพียรที่ประกอบด้วยความรักความเข้าใจและความมุ่งมั่นต่องานอย่างแท้จริง
........ทรงบำเพ็ญเนกขัมบารมี
........พระเจ้ากาสีและพระนางจันทาเทวี แห่งเมืองพาราณสีไม่มีพระโอรสพระธิดา พระนางจันทาเทวีทรงตั้งสัตยาธิษฐานให้ พระอุโบสถศีลที่พระนางรักษาส่งผลให้ได้พระโอรส แรงอธิษฐานของพระนางทำให้ท้าวสักกเทวราชต้องเสด็จไปอ้อนวอนให้เทพบุตรโพธิสัตว์ ซึ่งกำลังจะจุติ (ตาย) จากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มาเกิดเป็นพระโอรสของพระนาง ไม่นานพระนางก็ทรงครรภ์ ยังความปลาบปลื้มปิติแก่พระเจ้ากาสี ข้าราชบริพารและชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง วันที่พระโอรสประสูตินั้นเกิดฝนตกตลอดทั้งแคว้น ความแห้งแล้งหายไป หมู่ไม้นานาพันธุ์สดชื่นพร โอรสจึงได้พระนามว่า พระเตมีย์ (ผู้ทำให้เกิดความชุ่มฉ่ำ) พระกุมารเตมีย์ทรงน่ารัก พระฉวีวรรณผุดผ่อง ทรงเลี้ยงง่าย พระบิดาทรงคัดเลือกแม่นมที่มีลักษณะดี ให้เลี้ยงดูพระกุมารถึง 64 คน เมื่อพระเตมีย์มีพระชนมายุเพียง 1 เดือน บรรทมอยู่บนพระเพลาของพระบิดา ซึ่งกำลังพิพากษาความผิดของโจร ทำให้พระองค์ทรงระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นกษัตริย์ครองเมืองนี้อยู่ 20 ปี ตัดสินประหารชีวิตผู้คนมาไม่น้อย ตายแล้วส่งผลให้ตกนรกเป็นเวลานาน พระองค์ร้อนพระทัยหาทางพ้นจากตำแหน่งกษัตริย์ เทพธิดานางหนึ่งเคยเป็นพระมารดาของพระเตมีย์ในอดีตชาติยังคงติดตามรักษาพระองค์อยู่ ได้บอกอุบายให้พระองค์ทำเป็นเด็กพิการง่อยเปลี้ยเสียขา หูหนวก เป็นใบ้ พระองค์กระทำตามตั้งแต่นั้นมา พระเจ้ากาสีทรงพยายามทดลองพระโอรสด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ให้อดอาหาร เผาที่ประทับ ปล่อยช้างและงูให้มาจะทำร้าย ให้บรรทมอยู่กับอุจจาระ บรรทมบนความร้อน ให้หญิงรุ่นสาวมาเล้าโลม เป็นต้น แต่พระโอรสก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร จนพระเตมีย์มีพระชนมายุ 16 พรรษา โหรทำนายทายทักว่า พระเตมีย์เป็นตัวเสนียดจัญไรให้ฝังทั้งเป็น พระเจ้ากาสีทรงจำยอมให้ทำตามโหรหลวง พระนางจันทาเทวีทรงขอเวลา 7 วัน พระนางพร่ำอ้อนวอนให้พระเตมีย์เลิกทำตัวพิการแต่ก็ไร้ผล พระเตมีย์สุดแสนสงสารและสะเทือนพระทัยยิ่งนักแต่ก็อดกลั้นเอาไว้ จนนายสุนันทสารถีรับพระองค์ไปฝังนอกเมือง นายสารถีตั้งจะขับรถม้ามุ่งหน้าออกประตูเมืองทางทิศตะวันตก แต่กลับไปออกประตูเมืองทางทิศตะวันออกหยุดรถที่ป่าใหญ่ ด้วยเข้าใจว่าเป็นป่าช้าผีดิบ เขาเปลื้องเครื่องทรงพระเตมีย์ออกแล้วลงไปขุดหลุม พระเตมีย์เสด็จลงจากรถลองพระกำลังโดยยกรถม้าขึ้นเหลี่ยงเหนือพระเศียร แล้วเสด็จไปหาสารถีตรัสสั่งให้กลับไปกราบทูลพระเจ้ากาสีและพระนางจันทาเทวีทรงทราบเรื่องราว สำหรับพระองค์จะออกบวช เมื่อพระเจ้ากาสีและพระนางจันทาเทวีทรงทราบ รับสั่งให้จัดขบวนพร้อมเชิญชวนชาวเมืองไปเข้าเฝ้าพระเตมีย์ พระดาบสเตมีย์ทรงแสดงธรรมให้ทุกคนฟัง พระบิดาพระมารดาและทุกคนเลื่อมใสขอบวชอยู่ด้วย ไม่นานนักก็บรรลุฌานสมาบัติเมื่อมรณาภาพแล้วไปเกิดบนพรมโลก
คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องอดทน อดกลั้น และรู้จักรอเวลา
........ทรงบำเพ็ญอธิฐานบารมี
........พระเจ้าเนมิราชเป้นกษัตริย์สืบเชื้อสายมาแต่ราชวงศ์ของพระเจ้ามฆเทวะ ซึ่งมีกษัตริย์สืบเชื้อสายกันมาถึง 84,000 พระองค์ ครองราชสมบัติแห่งเมืองมิถิลา แคว้นวิเทหะพระองค์ทรงยินดีในการบริจาคทาน โปรดให้สร้างโรงทาน 5 แห่ง ที่ประตูเมืองทั้ง 4 ด้าน และกลางเมืองอีก 1 แห่ง นอกจากนี้ พระองค์ยังแสดงธรรมชักชวนชาวเมืองทำบุญให้ทาน รักษาศีล พระองคืมีความสงสัยว่าการให้ทาน กับการรักาศีลอย่างไหนมีผลมากกว่ากัน ในคืน 15 ค่ำวันหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาถึงห้องบรรทมและได้ตรัสตอบว่า การรักษาศีลมีผลมากกว่าการให้ทาน เพราะการให้ทานส่งผลให้เกิดได้แต่ในสวรรค์ แต่การรักษาศีลส่งผลให้ไปเกิดได้ถึงพรหมโลก การให้ทานและการรักษาศีลต่างเป็นความดีจึงควรทำควบคู่กันไป เทพทั้งหลายได้ทราบเรื่องพระเจ้าเนมิราชจากท้าวสักกะจึงทูลขอให้พระองค์อันเชิญพระเจ้าเนมิราชมายังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะทรงใช้ให้มาตลีเทพบุตรขับเวชยันตราชรถมารับพระเจ้าเนมิราช ขณะที่พระองค์ประทับอยู่มหาปราสาทท่ามกลางหมู่อำมาตย์และข้าราชบริพาร พระเจ้าเนมิราชทรงรับคำเชิญขึ้นประทับเวชยันตราชรถ มาตลีเทพบุตรพาพระองค์เที่ยวชมขุมนรก 15 ขุม คือ เวตรณีนรก นรกสุนัข นรกคูถ นรกน้ไหลืองน้ำหนอง นรกเบ็ด นรกภูเขาเหล็กแดง นรกบ่อไฟ นรกสัตว์น่าเกลียด เป็นต้น แล้วมาตลีเทพบุตรก็นำพระองค์ไปชมสวรรค์ บันดาลให้สวรรค์ทุกชั้นปรากฏให้เห็น หลังจากนั้นก็นำเข้าเฝ้าท้าวสักกะ ณ สุธรรมาเทวสภา ท้าวสักกะเชิญชวนให้พระเจ้าเนมิราชเสวยทิพยสมบัติอยู่กับพระองค์ พระเจ้าเนมิราชทรงปฏิเสธขอกลับไปสร้างบุญกุศลของพระองค์เองให้มาก เมื่อพระเจ้าเนมิราชเสด็จกลับมา พระองค์ตรัสเล่าเรื่องนรกสวรรค์และผลการกระทำให้ข้าราชบริพารและชาวเมืองได้ฟัง ทำให้ทุกคนยึดมั่นในการทำความดีมากยิ่งขึ้น พระเจ้าเนมิราชเสวยราชย์ด้วยความผาสุกสืบมา จนล่วงเข้าสู่วัยชราพระองค์ก็เสด็จออกผนวชอยู่ในอุทยานสวนมะม่วง ตามโบราณราชประเพณีของราชวงศ์ทุกพระองค์ พระองค์เจริญพรหมวิหาร 4 สำเร็จฌานสมาบัติ เมื่อสิ้นอายุขัยได้ไปเกิดบนพรหมโลก
ความแน่วแน่มั่นคงในความดี เป็นสิ่งเกื้อกูลให้ประสบความสำเร็จได้
........ทรงบำเพ็ญศีลบารมี
........พระนางสมุททชา พระธิดาของพระเจ้าพรหมทัต ได้อภิเษกกับพญานาคฐตรฐแห่งนาคพิภพ มีพระโอรส 4 พระองค์ คือ สุทัสสนกุมาร ทัตตกุมาร สุโภคกุมาร และอริฏฐกุมาร ทัตตกุมารฉลาดกว่าผู้อื่น บิดาจึงมอบหมายงานให้ทำมากกว่า คราวหนึ่งทัตตกุมารได้ติดตามพระบิดาและท้าววิรูปักษ์เข้าเฝ้าท้าวสักกเทวราช ทัตตกุมารได้แสดงความสามารถให้ท้าวกักกะโปรดปราน จึงตั้งชื่อให้ว่า ภูรทัตตกุมาร (พระกุมารผู้มีปัญญากว้างขวางดุจแผ่นดิน) ภูริทัตตกุมารหมั่นรักษาศีลเพราะรู้ว่าผลของการรักษาศีลจะได้เกิดเป็นเทพบนสวรรค์ ครั้งหนึ่งพระองค์ขออนุญาตพระบิดาพระมารดารักษาศีลบนโลกมนุษย์ พระองค์รักษาศีลอย่างเคร่งครัด อธิษฐานจิตไว้มั่นคงว่า หนัง เอ็น กระดูก เลือดเนื้อ หากผู้ใดต้องการก็จงเอาไปเถิด ไม่ปกป้อง ไม่หวง ยินดีสละให้ พรานเนื้อชาวเมืองพาราณสีสองพ่อลูก ออกล่าเนื้อมาถึงริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ใกล้บริเวณที่ภูริทัตตกุมารจำศีลอยู่ เมื่อเห็นภูริทัตตกุมารก็เข้าไปสอบถาม พระภูริทัตบอกตามความจริงแล้วพาพรานทั้งสองไปเที่ยวเสวยสุขในนาคพิภพ เวลาผ่านไป 1 ปี พรานทั้งสอง ลาพระภูริทัตกลับโลกมนุษย์ ต่อมามีพราหมณ์คนหนึ่ง เรียนมนต์จับงูจากฤาษีตนหนึ่ง มนต์นั้นชื่อ มนต์อาลัมพายน์ คนทั่วไปจึงเรียกเขาว่า พราหมณ์อาลัมพายน์ อำนาจมนต์ช่วยให้ได้แก้ววิเศษจากพวกนางนาค พรานผู้เป็นพ่อเห็นเข้าจึงต้องการได้ จึงแลกเปลี่ยนด้วยการบอกที่รักษาศีลของพระภูริทัต และทรมานด้วยวิธีการต่างๆ พระภูริทัตไม่ยอมให้ความโกรธเกิดขึ้น เพราะต้องการรักษาศีล พราหมณ์อาลัมพายน์ได้นำพญานาคภูริทัตไปแสดงกลเรี่ยรายเงินได้จำนวนมาก พระนางสมุททชาทรงฝันร้าย และไม่เห็นพระภูริทัตมาเฝ้าดังเคย จึงแน่พระทัยว่าพระโอรสประสบภัย พระโอรสทั้งสามพระองค์รับอาสาออกติดตาม สุทัสสนกุมารแปลงตัวเป็นฤาษีติดตามไปจนพบพราหมณ์อาลัมพายน์กำลังเปิดแสดงที่ประตูพระราชวังพาราณสี พญานาคภูริทัตเห็นฤาษีแปลงก็เลื้อยเข้ามาซบ ร้องไห้แทบเท้าพี่ชาย โดยท้าให้สู้กับพิษของเขียดซึ่งเป็นนางนาคแปลง พิษร้ายนั้นได้ถูกผิวหนังพราหมณ์อาลัมพายน์จนกลายเป็นโรคเรื้อน เขาตกใจยอกปล่อยพญานาคภูริทัต สุทัสสนกุมารและพระภูริทัตเข้าเฝ้าพระเจ้าพาราณสี กราบทูลให้พระองค์ทรงทราบว่า เป็นพระโอรสของพระนางสมุททชาพระขนิษฐาของพระองค์ พระภูริทัตกลับไปพักรักษาพระองค์ แล้วได้กล่าวว่า พราหมณ์กับผู้ครองเรือนปุถุชนทั่วไปยังหมกมุ่นในกามคุณ ยังต้องการทรัพย์สิน ข้าว บ่าวไพร่ เหมือนกัน
........การทำความดีนั้นอาจมีอุปสรรคมาทดสอบแต่สุดท้ายก็จะประสบชัยชนะ
........ทรงบำเพ็ญขันติบารมี
........เจ้าชายจันทกุมาร เป็นพระโอรสของพระเจ้าเอกราชแห่งเมืองปุปผวดี พระธิดาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอุปราช ทำหน้าที่ว่าราชการแทนพระเจ้าเอกราช มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อ กัณฑาหาละทำหน้าที่ถวายคำแนะนำและตัดสินคดีความ เขาทำหน้าที่ดีในตอนแรกๆ ต่อมารับสินบนจากเจ้าชาย จันทกุมารทรงทราบเรื่อง และช่วยพลิกคดีให้เจ้าทุกข์ที่ได้รับความยุติธรรม เมื่อพระเจ้าเอกราชทรงทราบจึงแต่งตั้งให้เจ้าชายจันทกุมารเป็นผู้พิพากษาแทน ปุโรหิตกัณฑหาละโกรธแค้นหาทางทำลายล้างเจ้าชายจันทกุมารตลอดมา คืนหนึ่งพระเจ้าเอกราชทรงฝันเห็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เห็นท้าวสักกเทวราชประทับในปราสาท แวดล้อมด้วยเทพธิดา ความฝันทำให้พระองค์ปรารถนาไปเที่ยวสวรรค์ กัณฑหาละเห็นเป็นโอกาส จึงทูลแนะนำให้บูชายัญด้วยพระมหาสี พระโอรส พระธิดา ถวายเทพเจ้า พระเจ้าเอกราชทรงเบาปัญญาเชื่อกัณฑหาละ รับสั่งให้นำพระมหเสี 4 พระองค์ พระโอรส 5 พระองค์ พระธิดา 4 พระองค์ รวมทั้งเศรษฐีประจำแคว้น 4 คนมารวมกันไว้ นอกจากนี้ พระองค์ให้นำพาหนะสำคัญ มีทั้งช้าง ม้า โค อุสุภราช (วัวตัวผู้ลักษณะดี)มาบูชายัญด้วย พระบิดาพระมารดาของพระเจ้าเอกราชเสด็จมาขอร้องก็ไม่ทรงยอม ต้องเสด็จกลับไปด้วยความเสียพระทัย เจ้าชายจันทกุมารทรงทราบว่าพระองค์เป็นต้นเหตุเพราะไปขัดแย้งกับปุโรหิตกัณฑหาละ จึงเป็นหน้าที่ที่พระองค์จะต้องแก้ไข พระองค์ทรงขอร้องพระบิดาจนพระทัยอ่อน ยินยอมปล่อยทุกคนถึง 3 ครั้ง แต่ทุกครั้งปุโรหิตกัณฑหาละกราบทูลทัดมานจนพระเจ้าเอกราชรับสั่งให้จับทุกพระองค์เป้นครั้งที่ 4 แล้วพาออกนอกพระนคร ชาวเมืองร้องไห้คร่ำครวญ ทั่วพระนครบรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เจ้าชายจันทกุมารประทับยืนอยู่ปากหลุมบูชายัญ วิงวอนพระบิดาเป็นครั้งที่ 4 พระนางจันทาชายาของเจ้าชายจันทกุมารได้ช่วยวิงวอนด้วย แต้พระเจ้าเอกราชไม่พระทัยอ่อนยืนยันจะบูชายัญ ก่อนที่เจ้าชายจันทกุมารจะถูกประหารด้วยคมดาบของกัณฑหาละ ท้าวสักกเทวราชถือตะบองเหล็กเสด็จมาทำลายพิธี ตรัสตำหนิพระเจ้าเอกราชอย่างรุนแรง พระเจ้าเอกราชตกพระทัยกลัว รับสั่งให้ปล่อยทุกคนและสัตวืทั้งหลาย ชาวเมืองได้โอกาสเข้ารุมทุบตีปุโรหิตกัณฑหาละจนถึงแก่ความตาย จากนั้นจะเข้าปลงพระชนม์พระเจ้าเอกราช เจ้าชายจันทกุมารเข้าขัดขวางและอ้อนวอนขอชีวิต ชาวเมืองยอมยกให้ แต่ให้เนรเทศไปอยู่ในหมู่บ้านคนจัณฑาล แล้วอภิเษกเจ้าชายจันทกุมารเป็นกษัตริย์ พระองค์เสด็จไปเยี่ยมพระบิดาอยู่เนืองๆ และปกครองเมืองปุปผวดีให้ผาสุขสืบมา
........การฟังเรื่องราวใด ต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ มิฉะนั้นจะหลงเชื่อและกระทำผิดเสียหายได้
........พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระนารทพรหม
........ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
........พระเจ้าอังคติราชเป็นกษัตริย์ซึ่งทรงทศพิธราชธรรมแห่งเมืองมิถิลา พระองคืมีพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง พระนามว่ารุจา และมีอำมาตย์ใหญ่ที่รับใช้ใกล้ชิดอยู่ 3 คน คือ วิชัยอำมาตย์ สุนามอำมาตย์ และอลาตอำมาตย์ คืนหนึ่งเป็นคืนวันเพ็ญเดือน 12 ท้องฟ้าแจ่มใส พระเจ้าอังคติราชตรัสปรึกษากับอำมาตย์ทั้ง 3 ว่า ควรทำอะไรจึงจะเป็นประโยชน์ อลาตอำมาตย์กราบทูลแนะนำให้ยกทัพไปตีเอาบ้านเมือง สุนามกราบทูลให้จัดงานเลี้ยงขับร้องฟ้อนรำให้สนุกสนาน ส่วนวิชัยอำมาตย์กราบทูลให้เสด็จไปสนทนาธรรมกับสมณ พราหมณ์ พระเจ้าอังคติราชตกลงพระทัยไปสนทนากับคุณาชีวก ซึ่งเป็นนักบวชที่มีชื่อเสียง มีคนนับถือมากในเวลานั้น พรองค์ตรัสถามถึงหนทางไปสู่สวรรค์ หนทางไปสู่นรกและการปฏิบัติต่อบิดามารดา ครูอาจารย์ บุตรภรรยา ผู้เฒ่าผู้แก่ สมณพราหมณ์ พลพาหนะและบ้านเมือง คุณาชีวกตอบตามความรู้ความเข้าใจของตนว่า ไม่มีบุญ ไม่มีบาป บิดามารดาไม่มี สตว์คนเสมอกัน จะได้ดีได้ชั่วเอง เวียนว่ายตายเกดิ 64 กัปป์ก็บริสุทธิ์เอง อลาตอำมาตย์กล่าวสนับสนุนในด้านไม่มีบาปไม่มีผลของบาป เขาระลึกได้ว่า ชาติที่แล้วเขาเป็นคนฆ่าวัว ในชาตินี้เขากลับได้มาเกิดในตระกูลขุนนาง วีรกะ เป็นชายเข็ญใจผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในที่นั้นกล่าวสนับสนุนคำสอนที่ว่า บุญและผลของบุญไม่มี เขาระลึกได้ว่าเขาเคยเกิดเป็นเศรษฐีทำความดีไว้มาก แต่ชาตินี้เขากลับมาเกิดเป็นคนเข็ญใจ คนทั้งสองนี้ระลึกชาติได้เพียงชาติเดียวจึงหลงผิด พระเจ้าอังคติราชหลงผิดเชื่อตามคำสอนของคุณาชีวก จึงเปลี่ยนพระจริยาวัตร เลิกทำความดี หันมาใช้ชีวิตอย่างสำราญ เลิกศึกษาข้อธรรมต่างๆ ไม่สนพระทัยในราชกิจและประชาชนทั้งปวง พระธิดารุจาทรงทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของพระบิดา พระธิดาเสด็จเข้าเฝ้าพระเจ้าอังคติราช ตรัสติงในมิจฉาทิฏฐินั้น แม้ว่าพระธิดาจะตรัสอธิบายอย่างไร พระเจ้าอังคติราชก็ไม่ทรงฟัง พระธิดารุจาทรงอ้อนวอนต่อเทพพรหมผู้ทรงธรรมทั้งหลายได้โปรดมาช่วยกลับพระทัยของพระบิดาให้ถูกต้อง ด้วยท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งนามว่า นารทะทรงได้ยินคำอ้อนวอนเกิดเมตตา จึงแปลงเป็นฤาษีเหาะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ทั้งสองพระองค์ นารทพรหมหยายามอธิบายและพรรณนาถึงโทษของขุมนรกต่างๆ พระเจ้าอังคติราชค่อยพิจารณาตามจนกลับมามีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องดุจเดิม พระธิดารุจาดีพระทัยมาก แคว้นวิเทหะกลับมามีความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง
........ไม่ควรคบและเชื่อฟังคนพาล ควรคบแต่นักปราชญ์ที่เป็นคนดีมีศีลธรรม